ที่มาของแนวคิด “บวร” ตามพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9
คำว่า “บวร” ในความหมายของการพัฒนาชุมชน มีที่มาอันทรงคุณค่าจาก แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช (รัชกาลที่ 9) ซึ่งทรงเห็นว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนไทยต้องอาศัยการประสานพลังของ 3 สถาบันหลัก ได้แก่ บ้าน วัด และโรงเรียน อันเป็นหน่วยพื้นฐานของสังคมไทยที่มีบทบาทร่วมในการหล่อหลอมชีวิตของประชาชนตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงวัยผู้ใหญ่
พระองค์ทรงเน้นย้ำว่า หากสถาบันทั้งสามนี้ร่วมกันขับเคลื่อนและทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ ชุมชนจะเข้มแข็งอย่างแท้จริง ซึ่งแนวคิดนี้ต่อมาได้ถูกเรียกโดยย่อว่า “บวร” ซึ่งหมายถึง:
- บ = บ้าน : ศูนย์รวมของครอบครัว เป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกฝังคุณธรรมและวินัย
- ว = วัด : ศูนย์รวมจิตใจและศีลธรรมของชุมชน
- ร = โรงเรียน : ศูนย์รวมแห่งความรู้ การพัฒนาเยาวชน และอนาคตของชาติ
บวร: สามเสาหลักที่ต้องไปด้วยกัน
- บ้าน คือจุดเริ่มต้นของชีวิต เป็นสถานที่ปลูกฝังพฤติกรรมและค่านิยมพื้นฐาน เป็นที่ที่เด็กได้เรียนรู้ความรัก ความรับผิดชอบ และความอบอุ่น
- วัด เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน สร้างศีลธรรม สติ และคุณธรรม เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางศาสนาและสืบสานวัฒนธรรมประเพณี
- โรงเรียน คือแหล่งวิชาความรู้ ฝึกฝนทักษะ เตรียมคนให้พร้อมสำหรับโลกที่เปลี่ยนแปลง
ทั้งสามสิ่งนี้เปรียบเสมือนเสาหลักที่ยึดโยงกัน ถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป การพัฒนาชุมชนก็จะขาดความสมดุล เช่นเดียวกับเกวียนที่มีสามล้อ หากล้อใดล้อหนึ่งเสีย หรือล้มหาย เกวียนนั้นก็ไม่สามารถเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง
แนวทางการพัฒนาชุมชนด้วยหลัก “บวร”
- บ้านต้องเข้มแข็ง
- ส่งเสริมครอบครัวอบอุ่น พ่อแม่ให้เวลากับลูก ดูแลซึ่งกันและกัน
- ปลูกฝังคุณธรรมตั้งแต่ในบ้าน ไม่ปล่อยให้โรงเรียนเป็นฝ่ายเดียวที่สอน
- วัดต้องเป็นศูนย์กลางจิตใจ
- เปิดพื้นที่ให้เยาวชนและประชาชนเข้ามาทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น สวดมนต์ อาสา พัฒนา
- พระสงฆ์ควรเป็นผู้นำทางธรรม ให้คำแนะนำด้านจริยธรรมโดยไม่ห่างเหินจากชุมชน
- โรงเรียนต้องเชื่อมโยงกับบ้านและวัด
- จัดกิจกรรมที่บูรณาการความรู้กับคุณธรรม เช่น โครงการบวรศึกษา จิตอาสา ทอดผ้าป่าการศึกษา
- เปิดพื้นที่การเรียนรู้ให้บ้านและวัดเข้ามาร่วม
หากละเลยสิ่งหนึ่งสิ่งใด…จะเกิดอะไรขึ้น?
- หากพัฒนาแต่บ้าน ไม่พัฒนาโรงเรียนและวัด
คนในบ้านอาจจะมีวัตถุ มีเงินทอง แต่ขาดหลักธรรม ขาดวิชาความรู้ ทำให้สังคมวุ่นวายเพราะขาดศีลธรรมและวิสัยทัศน์ - หากพัฒนาแต่โรงเรียน ไม่สนใจบ้านและวัด
เด็กจะเรียนเก่งแต่ขาดภูมิคุ้มกันทางจิตใจ เพราะไม่มีวัดปลูกจิตสำนึก และไม่มีบ้านอบอุ่นที่คอยโอบอุ้ม - หากพัฒนาแต่วัด ไม่เชื่อมโยงบ้านและโรงเรียน
ธรรมะอาจมีแต่ไร้ผู้ฟัง ศีลธรรมถูกละเลยในชีวิตจริง และกลายเป็นเพียงพิธีกรรมที่ห่างไกลผู้คน
“ไม่เอาพรรค เอาแต่พวก” กับการละเลย “บวร”
แนวคิด “ไม่เอาพรรค เอาแต่พวก” หมายถึง การเลือกทำงานกับกลุ่มคนที่ตนเองสนิทหรือไว้ใจ โดยไม่มองถึงระบบหรือเป้าหมายส่วนรวม เป็นแนวคิดที่อันตรายต่อการพัฒนาชุมชน เพราะ…
- เมื่อผู้นำเลือกเอาแต่พวกบ้าน ไม่เอาวัด ไม่เอาโรงเรียน
จะเกิดความลำเอียงในนโยบาย พัฒนาชุมชนแบบเฉพาะกลุ่ม ทำให้วัดและโรงเรียนถูกทอดทิ้ง เกิดความแตกแยก - ถ้าผู้นำเอาแต่โรงเรียน ละเลยบ้านกับวัด
ชุมชนอาจมีแต่แผนการเรียนรู้บนกระดาษ ขาดรากฐานทางวัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ - หรือหากวัดถูกรวมเป็น “พวก” ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
วัดจะไม่เป็นกลาง ขาดความน่าเชื่อถือ และศูนย์รวมใจของชุมชนก็จะสูญหาย
การพัฒนาชุมชนให้เจริญรุ่งเรืองจึงต้องพ้นจากความลำเอียงแบบ “เอาแต่พวก” แต่ต้องหันมา “รวมพรรค รวมพลัง” ของทั้ง บ้าน วัด และโรงเรียน เพื่อขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน
สรุป
สรุป: พัฒนาให้ครบทั้ง “บวร” ไม่ละเลยสิ่งใด
การพัฒนาชุมชนที่มั่นคงและยั่งยืน จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ บ้าน วัด และโรงเรียน ได้รับการส่งเสริมควบคู่กัน โดยไม่มีสิ่งใดถูกละเลย
แนวทาง “บวร” ตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงเป็นกรอบคิดที่ควรถูกนำมาใช้จริง และพัฒนาให้เข้ากับบริบทของแต่ละชุมชน ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านเล็กหรือเมืองใหญ่
หากเราร่วมมือกัน ไม่แบ่งพวก แบ่งพรรค แต่แบ่งปันกำลังใจและหน้าที่ ชุมชนใดก็จะรุ่งเรืองได้
รายงานโดย.ทีมข่าวศูนย์วิทยุบงกช : เชิญชวน ชาวบ้านแซะ ท่าแมงลัก หัวสวน เกาะสะบ้า สะพานไม้แก่น มาร่วมเป็นเครือข่ายข่าวชุมชนกับเรา ส่งข้อมูลให้เราลงข่าวให้ คลิกที่นี่ เลย