บ้านแซะคือบ้านเกิดของผม ที่ที่ผมได้ลืมตาดูโลก ได้วิ่งเล่นยามเย็นใต้ต้นไม้ใหญ่ ได้ยินเสียงแม่เรียกให้กลับบ้าน และได้เรียนรู้คุณค่าของการอยู่ร่วมกันจากคนรอบข้าง
ชีวิตในวัยเยาว์ของผมไม่ได้มีแค่การเรียนหนังสือในห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังมี “ห้องเรียนชีวิต”
ที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นลุงป้าเพื่อนบ้าน หรือกลุ่มผู้สูงวัยที่มีเรื่องเล่าไม่รู้จบ ทุกอย่างล้วนหล่อหลอมให้ผมป็นผมในวันนี้
ผมเกิดในยุค 90 ยุคที่หลายคนเรียกว่า “ยุครอยต่อ” เพราะเราคือกลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนรุ่นพ่อแม่ – รุ่น 60-80 และคนรุ่นน้อง – รุ่น 2000 เป็นยุค90 เป็นยุคที่ไม่ได้โตมากับเทคโนโลยี แต่ก็เรียนรู้เทคโนโลยีได้ทันเวลา และยังคงมีรากฐานความคิดแบบดั้งเดิมหลงเหลืออยู่ เราคือสะพานเชื่อมระหว่างสองฝั่งที่ต่างกันทั้งทัศนคติ วิถีชีวิต และรูปแบบการพัฒนา
ความแตกต่างที่กลายเป็นช่องว่างระหว่างวัย
คนรุ่น 60-80 คือรากฐานของบ้านแซะ พวกเขาคือคนที่สร้างบ้านแซะขึ้นมาด้วยมือ เป็นผู้ที่มีความทรงจำเกี่ยวกับยุคที่บ้านแซะยังเป็นพื้นที่ห่างไกลความเจริญ พวกเขาเคยลำบาก เคยต่อสู้ เคยสร้างสรรค์ และที่สำคัญคือมีเรื่องเล่ามากมายที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องเล่าเหล่านั้นค่อย ๆ เลือนหาย บางเรื่องไม่เคยถูกจดบันทึกไว้ด้วยซ้ำ และกลายเป็นเพียงความทรงจำในใจของคนไม่กี่คนเท่านั้น
ขณะเดียวกัน คนรุ่น 2000 เติบโตมาพร้อมกับโลกดิจิทัล ทุกอย่างรวดเร็ว ฉับไว และทันสมัย พวกเขามองโลกในมุมใหม่ เข้าใจเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลง แต่บางครั้งก็ขาดความลึกซึ้งทางประวัติศาสตร์ และไม่ได้สนใจรากเหง้าของชุมชนเท่าที่ควร จะด้วยเพราะขาดโอกาสในการเรียนรู้ หรือเพราะไม่มีใครถ่ายทอดให้ ก็ไม่อาจชี้ชัดได้
สิ่งที่ตามมาคือช่องว่างระหว่างวัยที่ค่อย ๆ ถ่างกว้างขึ้น คนรุ่นเก่าเริ่มรู้สึกว่าไม่มีใครฟัง คนรุ่นใหม่มองว่าสิ่งเก่าเป็นภาระ การพัฒนาบ้านแซะจึงไม่เคยก้าวไปพร้อมกัน แต่กลับก้าวกันคนละทาง ทำให้ศักยภาพของบ้านแซะยังไม่ถูกปลดปล่อยอย่างเต็มที่
ทำไมต้องเป็น “ผม” ที่ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง?
เพราะผมอยู่ตรงกลางของทั้งสองรุ่น ผมฟังภาษาเก่ารู้เรื่อง และเข้าใจภาษาใหม่อย่างถ่องแท้ ผมเห็นความงดงามของเรื่องราวในอดีต และตระหนักถึงพลังของเทคโนโลยี ผมเข้าใจว่าการพัฒนาต้องไม่ละทิ้งรากเหง้า และการอนุรักษ์ก็ต้องไม่ปิดกั้นนวัตกรรม
ผมเชื่อว่าบ้านแซะสามารถเป็นชุมชนที่เข้มแข็งได้ ถ้าเราหยิบเอาปัญญาจากรุ่นเก่ามาผสมผสานกับแนวคิดสร้างสรรค์จากรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว ถ้าเราสามารถเปิดพื้นที่ให้คนรุ่น 60-80 ได้เล่าเรื่องราวของพวกเขา พร้อมกับเปิดใจให้คนรุ่น 2000 ได้เสนอแนวทางการพัฒนา บ้านแซะก็จะไม่ใช่แค่ “บ้านเก่า” ที่คนรุ่นใหม่มองข้ามอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นบ้านที่ทุกคนภูมิใจและมีส่วนร่วม
ภารกิจของผม
สิ่งที่ผมพยายามทำคือการสร้าง “พื้นที่กลาง” ให้กับคนในชุมชน พื้นที่ที่คนรุ่นต่าง ๆ จะมาพบกัน แลกเปลี่ยนความคิด และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผมพยายามผลักดันกิจกรรมที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน เช่น โครงการบันทึกประวัติบ้านแซะจากคำบอกเล่า จัดกิจกรรมเสวนาระหว่างวัย หรือจัดค่ายเยาวชนให้ลงพื้นที่เรียนรู้จากผู้เฒ่าผู้แก่
ผมยังตั้งเป้าที่จะใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยง เช่น การทำคลิปวิดีโอสารคดีชุมชน การสร้างเพจชุมชนเพื่อแชร์เรื่องราวท้องถิ่น หรือแม้แต่การตั้งกลุ่มไลน์/เฟซบุ๊กเพื่อให้ผู้สูงวัยกับเยาวชนได้พูดคุยกันมากขึ้น เพราะผมรู้ว่าการเข้าใจกันคือกุญแจสำคัญของการพัฒนา
บ้านแซะในฝันของผม
บ้านแซะในฝันของผมไม่ใช่แค่หมู่บ้านที่มีถนนดี มีไฟสว่าง หรือมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตแรง แต่เป็นบ้านที่คนรุ่นเก่ารู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่า และคนรุ่นใหม่รู้สึกว่ารากเหง้าของตนเองน่าภาคภูมิใจ บ้านที่ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และทุกคนรู้ว่าตัวเองสามารถมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของบ้านเกิด
การพัฒนาที่แท้จริงจึงไม่ใช่แค่เรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน แต่คือการพัฒนา “ใจคน” ให้รู้จักเชื่อมโยงกัน เข้าใจกัน และเดินไปข้างหน้าด้วยกันอย่างมั่นคง
สุดท้ายนี้
การที่ผมลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อบ้านแซะ ไม่ใช่เพราะผมเก่งกว่าคนอื่น หรือรู้มากกว่าใคร แต่เพราะผมรู้สึกว่าถ้าไม่มีใครเริ่ม มันก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น และเพราะผมคือคนบ้านแซะโดยแท้ เกิดที่นี่ โตที่นี่ และยังจะอยู่ที่นี่
ผมจึงขอเป็นอีกหนึ่งแรงเล็ก ๆ ที่จะเชื่อมคนรุ่น 60-80 และ 2000 เข้าหากัน เพื่อสร้างบ้านแซะที่แข็งแรงกว่าเดิม บ้านที่ไม่ใช่แค่ “ที่อยู่” แต่คือ “หัวใจ” ของเราทุกคน