หมู่บ้านแซะในตำบลสะกอม อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา เป็นชุมชนชนบทที่ยังคงพึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก ภูมิประเทศของพื้นที่เป็นที่ราบสลับเนินเขาเล็กน้อย
มีความชื้นสูงจากฝนที่ตกสม่ำเสมอตลอดปี ทำให้เหมาะสมกับการปลูกพืชสวนยืนต้นหลายชนิด ทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน และไม้ผลอย่างทุเรียน อย่างไรก็ตาม ในยุคที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น รายได้ผันผวน และแรงงานในหมู่บ้านเริ่มลดลง การเลือกอาชีพเกษตรที่ “คุ้มค่า” จึงต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยมากกว่าความคุ้นเคยเพียงอย่างเดียว
ปัจจุบัน ยางพารายังเป็นพืชหลักของชาวบ้านแซะจำนวนมาก เพราะเป็นพืชที่ปลูกต่อเนื่องกันมาหลายสิบปี มีระบบการผลิตและแรงงานที่คุ้นชิน แต่ปัญหาหลักคือราคายางที่ผันผวนอยู่ตลอดเวลา บางช่วงราคาต่ำจนไม่คุ้มกับแรงงานและต้นทุน หากไม่มีการแปรรูปหรือรวมกลุ่มขายแบบมีอำนาจต่อรอง เกษตรกรจะตกอยู่ในวงจรความเสี่ยงเดิมๆ
ในขณะที่ปาล์มน้ำมันเริ่มกลายเป็นทางเลือกของหลายครัวเรือน เนื่องจากปลูกง่าย ไม่ต้องกรีดเหมือนยาง และให้ผลผลิตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ดินไม่เปียกชื้นเกินไป ปาล์มให้ผลตอบแทนค่อนข้างแน่นอน แม้จะไม่สูงมาก แต่เหมาะกับครอบครัวที่มีแรงงานน้อยหรือสูงวัย ทว่าในแง่ของมูลค่าเพิ่ม ยังมีข้อจำกัดหากไม่มีโรงงานหรือระบบแปรรูปที่ใกล้พื้นที่
ทุเรียนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจดาวรุ่งในหลายพื้นที่ภาคใต้ รวมถึงเริ่มมีชาวบ้านแซะบางรายทดลองปลูกแล้ว แม้จะต้องใช้เวลานาน 3–5 ปีกว่าจะเก็บเกี่ยวได้ และต้องใช้ทุนสูงในการดูแลช่วงแรก แต่เมื่อผ่านระยะตั้งตัวได้ ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อไร่สูงกว่าทั้งยางและปาล์มหลายเท่าตัว หากมีการจัดการน้ำ ดิน และศัตรูพืชอย่างดี และสามารถเข้าถึงตลาดโดยตรงหรือส่งขายร่วมกับกลุ่มทุเรียนคุณภาพ ทุเรียนจะเป็นพืชที่สร้างรายได้แบบก้าวกระโดด
เมื่อพิจารณาร่วมกับโครงสร้างประชากรของบ้านแซะ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มแรงงานสูงวัยและกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มกลับถิ่นหลังเรียนหรือทำงานในเมือง แนวทางที่น่าจะ “คุ้มค่าที่สุด” ไม่ใช่การเลือกพืชชนิดเดียว หากแต่เป็นการจัดสรรพื้นที่และแรงงานให้เหมาะกับลักษณะของแต่ละครัวเรือน เช่น ครอบครัวที่มีแรงงานน้อย ควรปลูกปาล์มเป็นหลัก ผสมกับพืชเสริมรายได้ ส่วนครอบครัวที่พร้อมลงทุนและมีแรงงาน สามารถแบ่งพื้นที่ปลูกทุเรียนเป็นรายได้ระยะยาว ควบคู่กับยางหรือปาล์มที่ให้รายได้ประจำปี