ในทุกชุมชน มักมีสิ่งที่เป็นดั่งหัวใจ เป็นรากเหง้าของความเชื่อ ความทรงจำ และความผูกพันของผู้คน สำหรับชาวบ้านแซะ ต้นประดู่โบราณที่มีอายุกว่า 500 ปี คือหัวใจดวงนั้นต้นประดู่ต้นนี้ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางหมู่บ้านมานานนับศตวรรษ
ไม่เพียงแต่เป็นพยานเงียบ ๆ ต่อเรื่องราวของชาวบ้านรุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนในชุมชนเคารพนับถือ เชื่อกันว่าต้นประดู่ต้นนี้มีเทพารักษ์คุ้มครอง เป็นที่พึ่งทางจิตใจของชาวบ้านในยามเผชิญปัญหา และยังเป็นศูนย์กลางในการจัดพิธีกรรมตามความเชื่อที่สืบทอดกันมา
อย่างไรก็ตาม แม้ต้นไม้จะยังยืนต้นอยู่ได้อย่างแข็งแรงตามธรรมชาติ แต่พื้นที่โดยรอบกลับไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร กลายเป็นลานรกร้าง ใช้ประโยชน์ได้เพียงบางครั้งคราว และอาจสร้างภาพลักษณ์ไม่ดีต่อผู้มาเยือน
แนวคิดในการปรับปรุงลานต้นประดู่จึงเริ่มต้นขึ้นจากความตั้งใจจริงของข้าพเจ้าในฐานะคนในพื้นที่ ที่อยากเห็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้กลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง อยากให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จัก ได้สัมผัสคุณค่าทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของหมู่บ้าน และอยากให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางแห่งใหม่ที่เชื่อมโยงคนทั้งชุมชนเข้าด้วยกัน
เป้าหมายของการปรับปรุงนั้นมีหลายด้าน ได้แก่
- บูรณะต้นประดู่ เพื่อให้ต้นไม้มีสุขภาพดี แข็งแรง และปลอดภัยต่อผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม
- พัฒนาเป็นลานปูนปูกระเบื้อง เพื่อความสะอาดและปลอดภัย เหมาะกับการใช้งานทั้งในชีวิตประจำวันและในงานพิธีกรรมต่าง ๆ
- ออกแบบพื้นที่ให้เหมาะกับการพักผ่อน เช่น จัดม้านั่ง จุดชมวิว และทางเดินโดยรอบ ที่เอื้อต่อการนั่งพักและทำกิจกรรมของทุกเพศทุกวัย
- ส่งเสริมให้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมและกิจกรรมชุมชน เช่น งานบวช งานสรงน้ำพระ พิธีไหว้ต้นไม้ การบวงสรวง และการสืบสานวัฒนธรรมประจำถิ่น
ทั้งนี้ แนวคิดนี้แม้จะได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากชาวบ้านหลายคน แต่ก็ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญหลายประการ:
ปัญหาเรื่องที่ดิน
พื้นที่โดยรอบต้นประดู่แม้จะเป็นพื้นที่ที่คนในชุมชนใช้ร่วมกันมานาน แต่ทางเอกสารยังปรากฏว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนบางราย ซึ่งต้องมีการเจรจาเพื่อขอใช้พื้นที่อย่างถูกต้อง และหากจะปรับปรุงอย่างยั่งยืน ต้องได้รับความยินยอมอย่างเป็นทางการหรือดำเนินการเปลี่ยนสถานะที่ดินเพื่อความมั่นคงในอนาคต
การทำประชาพิจารณ์
แม้จะมีเสียงสนับสนุนในวงกว้าง แต่การจะดำเนินโครงการในพื้นที่สาธารณะต้องเปิดโอกาสให้คนทุกกลุ่มในชุมชนมีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นและตัดสินใจร่วมกัน ซึ่งต้องใช้เวลา การวางแผน และความเข้าใจในการสื่อสารกับคนในพื้นที่
ปัญหาด้านเงินทุน
การปรับปรุงลานในลักษณะนี้ต้องใช้งบประมาณไม่น้อย ทั้งในส่วนของวัสดุ (เช่น กระเบื้องหินอ่อนหรือปูนคุณภาพสูง) ค่าช่าง ค่าดูแลรักษาต้นไม้ และการจัดการกิจกรรมเพื่อส่งเสริมพื้นที่ โครงการนี้จึงจำเป็นต้องพึ่งพาการระดมทุน การขอสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแม้แต่การจัดกิจกรรมหารายได้ภายในชุมชนเอง
ผลดีที่ตามมา
หากโครงการนี้สามารถดำเนินการได้สำเร็จ บ้านแซะจะได้รับประโยชน์อย่างรอบด้าน ไม่เพียงในแง่ของภูมิทัศน์ที่สวยงาม แต่ยังรวมถึง:
- การเสริมสร้างความภาคภูมิใจของคนในชุมชน
- การอนุรักษ์วัฒนธรรมและธรรมชาติ
- การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
- การสร้างพื้นที่พักผ่อนที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ
- การเพิ่มคุณค่าให้กับพื้นที่สาธารณะของชุมชน
บทเรียนจากชุมชนอื่น ๆ ในประเทศไทยที่สามารถพัฒนาพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์หรือพื้นที่รกร้างให้กลายเป็นสวนสาธารณะหรือแหล่งเรียนรู้ ทำให้เรามั่นใจว่า โครงการปรับปรุงลานต้นประดู่นี้สามารถทำให้เป็นจริงได้ หากมีความร่วมมือจากทุกฝ่าย
ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า การปลุกชีวิตให้ลานต้นประดู่ ไม่ใช่แค่การเทปูนหรือปูหินให้สวยงาม แต่คือการฟื้นฟูจิตวิญญาณของหมู่บ้าน การสร้างความรัก ความสามัคคี และความหวังให้เกิดขึ้นในใจของลูกหลานบ้านแซะทุกคน และเป็นสิ่งที่เราควรส่งต่ออย่างภาคภูมิใจไปยังคนรุ่นถัดไป